วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สรุปบทที่9

E-Goverment
   การก้าวไปสู่ E-Goverment จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน และการให้บริการของภาครัฐ  เพื่อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม ประเทศต่างๆทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับการก้าวไปสู่การเป็น E-Goverment และมีกาประกาศเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการ
   สำหรับในประเทศไทย ได้มีการกล่าวถึงตั้งแต่ในกฎหมายสูงสุดของประเทศ คือ รัฐธรรมนูญฯ ในมาตรา 78 หรือ แผนสภาพัฒน์ฯ ฉบับที่ 8  ที่กล่าวถึงการนำไอทีมาใช้เพื่อเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานของรัฐกับภาคเอกชน เพื่อการบริหารและการบริการที่มีประสิทธิภาพ  นอกจากนี้ แผนไอทีแห่งชาติเองก็ระบุว่า หน่วยงานของรัฐต้องลงทุนให้พร้อมด้วยไอทีและบุคคลากรที่มีศักยภาพในการใช้ไอที

ความหมาย E-Goverment
    E-Goverment หรือ รัฐอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยหลักการที่เป็นแนวทาง 4 ประการ คือ
1. สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน
2. ทำให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
3. เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทั่วกัน
4. มีการใช้สารสนเทศที่ดีกว่าเดิม

     E-Government คือ วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงานของภาครัฐ และปรับปรุงการบริการแก่ประชาชน และการบริการด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐมากขึ้น  โดยการใช้เทคโนโลยีจะนำมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพของการเข้าถึง และการให้บริการของรัฐ  โดยมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มคน 3 กลุ่มคือ  ประชาชน ภาคธุรกิจ และข้าราชการ
     หากเทียบ E-Commmerce แล้ว E-Goverment คือ G-to-G1 Transaction และมีลักษณะเป็น intranet มีระบบความปลอดภัย

     ในขณะที่ E-Service เทียบได้กับ B-to-G2 และ G-to-C3 Transaction ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการให้บริการ โดยภาคธุรกิจกับประชาชนคือผู้รับบริการ

     E-Govenment กับ E-Service มีความเกี่ยวพันกันมาก  E-Govenment เป็นพื้นฐานของ E-Service เพราะการให้บริการของรัฐต่อประชาชนนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องมีเครือข่ายภายในระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองที่มีความปลอดภัย  และทำให้องค์กรสามารถแลกเปลี่ยนสารสนเทศกันได้  
 
     เป้าหมายปลายทางของ E-Govenment ไม่ใช่การดำเนินการเพื่อรัฐ แต่หากผลประโยชน์สูงสุดของการเป็น E-Govenment คือ ประชาชนและภาคธุรกิจ



หลัก E-Govenment จะเป็นแบบ G2G  G2B และ G2C 
     ระบบต้องมีความมั่นคงปลอดภัย  เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ  ประชาชนอุ่นใจในการรับบริการของรัฐ  ธุรกิจก็สามารถดำเนินการค้าขายกับหน่วยงานของรัฐด้วยความราบรื่น 


G2C รัฐ กับ ประชาชน

      เป็นการให้บริการของรัฐสู่ประชาชนโดยตรง  โดยที่บริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดำเนินธุรกรรมโดยผ่านเครือข่ายสารสนเทศของรัฐ   โดยที่การดำเนินการต่างๆนั้น จะต้องเป็นการทำงานแบบ Online และ Real Time มีการรับรองและการโต้ตอบที่มีปฏิสัมพันธ์

G2B รัฐ กับ เอกชน
      เป็นการให้บริการของภาคธุรกิจเอกชน โดยที่รัฐจะอำนวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกันโดยความเร็วสูง  มีประสิทธิภาพ  และมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส

G2G รัฐ กับ รัฐ
    เป็นรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหน่วยราชการ  ที่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยกระดาษและลายเซ็นต์ในระบบราชการเดิม  จะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศ  และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดำเนินงาน  ลดระยะเวลาในการส่งเอกสารและข้อมูลระหว่างกัน  

G2E รัฐ กับ ข้าราชการและพนักงานของรัฐ

     เป็นการให้บริการที่จำเป็นของพนักงานของรัฐ Employee กับรัฐบาล  โดยที่จะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติงานและการดำรงชีวติ เช่น ระบบสวัสดิการ ระบบที่ปรึกษาทางกฎหมายและข้อบังคับในการปฏิบัติงาน

ตัวอย่างโครงการ



ระบบ E-Tending

     ระบบการยื่นประมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นระบบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง  กระบวนการสลับซับซ้อน  การจัดซื้อจัดจ้างโดยอาศัยวิธีการประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ



ระบบ E-Purchasing 
     ระบบการจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น 2 ระบบย่อย

1. ระบบ E-Shopping ระบบการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าไม่สูง  กระบวนการสลับซับซ้อนไม่มาก  ระบบนี้จะมีความคุ้มทุนก็ต่อเมื่อมีความถี่ในการซื้่อสินค้าบ่อยครั้ง  หน่วยงานรัฐที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่  รวมกลุ่มของหน่วยงานภาครัฐเข้าด้วยกัน


2. ระบบ E-Auction เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างและบริการที่มีมูลค่าสูงหรือปริมาณมาก  และมีกระบวนการดำเนินงานที่ไม่สลับซับซ้อนมากนัก






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น