Supply Chain Management
Supply Chain Management หรือ การจัดการกลุ่มของกิจกรรมงาน กล่าวคือ ตั้งแต่การรับวัตถุดิบมาจาก Supplies แล้วเปลี่ยนวัตถุดิบนั้นให้เป็นสินค้าขั้นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย จนกระทั่งจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า
สิ่งที่จะทำให้เข้าใจถึงหน้าที่ของการผลิตและวิธีการควบคุมการผลิตนั้น เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่ 2 สิ่งหลักๆ ได้แก่
1. วัตถุดิบ Materials
2. สารสนเทศ Information
จากรูป จะเห็นว่าในทุกๆกระบวนการผลิต จะมีการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบ และ สารสนเทศในทุกกระบวนการ
ปัญหา คือ ความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น
- ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้อง สมบูรณ์แบบ และราคาถูก
- พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คำสั่งที่ถูกต้อง
- ฝ่ายจัดซื้อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
- ผู้จำหน่ายวัตถุดิบต้องการคำสั่งซื้อที่ถูกต้อง เพื่อจะได้จัดส่งสินค้าได้ถูกต้อง
- ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง
จากรูป แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ SCM ซึ่งมีผลตอบรับในด้านต่างๆ ดังนี้
ประโยชน์ของการทำ SCM
- การเคลื่อนไหลของวัตถุดิบและสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
- ปรับปรุงระดับของสินค้าคงเหลือ
- เพิ่มความเร็วได้มากขึ้น
- ขจัดความสิ้นเปลืองหรือความสูญเปล่าต่างๆ ในกระบวนการทางธุรกิจให้หมดไปได้
- ลดต้นทุนในกิจกรรมต่างๆ ได้
- ปรับปรุงการบริการลูกค้า
การบูรณาการในห่วงโซ่อุปทาน- การบูรณาการภายในธุรกิจ ให้เป็นแบบไร้รอยตะเข็บ ไร้ความสูญเสีย และมีความยืดหยุ่น- การบูรณาการภายนอก กับกระบวนการของลูกค้าที่สำคัญและผู้จัดหาวัตถุดิบที่สำคัญให้เข้ากับกระบวนการภายในของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และไร้รอยตะเข็บ- การบูรณาการทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนและประสานข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กรเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้ ได้แก่ E-Business, EDI-Electronic Data Interchange, Bar Code, E-Mail เป็นต้น Value Chain ห่วงโซ่คุณค่า
การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการจัดการด้าน Supplr Chain
Supply Chain Management คือ การรจัดการเชื่อมกิจกรรมต่างๆที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และลูกค้า กลยุทธ์ด้าน Supply Chain ได้แก่ ความพยายามที่จะผูกลูกค้า ผู้ผลิต หรือผู้จัดจำหน่ายกับธุรกิจ เรียกว่า Lock-in Customers หรือ Lock-in Suppliers เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปทำธุรกิจกับผู้อื่่นมีสูงขึ้น
Supply Chain Managenment
เป็นระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ Suppliers, Manufacturers และ Distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ
ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
กล่าวกันว่ามีต้นแบบมาจากการส่งลำเลียงเสบียงอาหารและอาวุธโยปกรณ์ตามระบบส่งกำลังบำรุงของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่ต้องการความมั่นใจว่าอาวุธและเสบียงอาหารจะต้องส่งให้เรียบร้อยและเพียงพอกับความต้องการ และตรงเวลา เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด
ต่อมา แนวความคิดดังกล่าวได้นำมาพัฒนาและดัดแปลงให้กับธุรกิจค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง
Helen Peek และคณะ ได้กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนการบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน The Baseline Organization เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก ฝ่าย ซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้ อาจะไม่สามารถปรับแผนการผลิตและการจัดหาวัสดุได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดของผู้บริโภค เนื่องจากแต่ละแผนต่างทำงานเป็นอิสระต่อกัน ไม่เกี่ยวกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน The Functionally Integrated Company องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยมีการรวบรวมหน้าที่ ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงานเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน The Internally Integrated Company องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน The Externally Integrated Company เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยมีการปรับโครงสร้างการบริหารแบบซัพพลายเชนในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก
การบริหารจัดการซัพพลายเชน
เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องในซัพพลายเชนเราเป็นสำคัญ องค์กรที่มีความรู้ในการบริหารจัดการดีควรต้องถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปรับปรุงระบบงานและการประสานงานระหว่างองค์กรให้แก่องค์กรอื่นๆในซัพพลายเชน
นอกจากการประสานงานที่ดีแล้ว จะต้องพิจารณาความสามารถในการประสานงานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. ศักยภาพในการประสานงานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด
2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพ และการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่างและภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
3. ศักยภาพในการประสานงานระบบการจัดการสารสนเทศ ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรในซัพพลายเชนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1. ปัญหาจากการพยากรณ์ การพยากรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจัดการซัพพลายเชน
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามเวลาที่กำหนด
3. ปัญหาด้านคุณภาพ ส่งผลให้กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามที่กำหนด
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า ส่งมอบล่าช้าเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งานระหว่างทำ และสินค้าสำเร็จรูป
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ สารสนเทศที่ผิดพลาดส่งผลกระทบต่อการจัดการโซ่อุปทาน ทำให้การผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่กำหนดไว้
6. ปัญหาจากลูกค้า เป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของโซ่อุปทาน
ตัวอย่างปัญหาของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น Bullwhip Effect คือ ปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกนำมาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง
เทคโนโลยีสารสนเทศในซัพพลายเชน
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยในการจัดการซัพพลายเชน การจัดระบบซัพพลายเชน ให้มีประสิทธิภาพนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการในเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆให้ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด การจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ และความสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตลาด และที่สำคัญคือ การนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาเป็นเครืองมือช่วยในการจัดการระบบซัพพลายเชน
ปัจจุบันเทคโนโลยีที่นิยมใช้ในระบบซัพพลายเชน ได้แก่
1. ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ E-business หรือบางครั้งเรียก พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและดำเนินงานระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ
2. การใช้บาร์โค้ด Barcode หรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์ โดยประกอบไปด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน เป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner บาร์โค้ดทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆของสินค้า เช่น หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทำการผลิต เป็นต้น
3. การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ EDI : Electronic Data Interchange เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ต่อการจัดการซัพพลายเชน เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์
4. การใช้ซอฟต์แวร์ Application SCM การนำซอฟร์แวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน เช่น ERP : Enterprice Resource Planning เป็นซอฟต์แวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทำหน้าที่ ประสานงานหลักๆในด้านต่างๆ , Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือกันบริหารงานในระดับซัพพลายเชน ต้องมีกลไกร่วมคิดร่วมพัฒนาระหว่างองค์กรอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจและการผลักดันของผู้บริหารระดับสูงของทุกองค์กรมีความสำคัญยิ่ง การจัดตั้งทีมงานร่วม ที่จะประกอบไปด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถจากทุกองค์กรในซัพพลายเชนมาร่วมกันวางแผนหาจุดอ่อน และพัฒนาระบบโลจิสติกในภาพรวม จะช่วยกันสร้างความร่วมมือระหว่งกันได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม
The Minor Group นำเอากลยุทธ์ Supply Chain Management มาช่วยในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ประกอบด้วย 4 ระบบหลักๆ ได้แก่
1. ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)
เป็นเทคโนโลยีบริหารกระบวนการธุรกิจโดยเฉพาะการเชื่อมโยง SCM โดยเน้นการบูรณาการกระบวนการหลักของธุรกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกรรมประจำวัน และยังสนับสนุนกระบวนการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ด้วยการใช้สารสนเทศระหว่างพนักงานขายและฝ่ายปฏิบัติงาน ซึ่งสารสนเทศหลักประกอบด้วย ประวัติการขาย การจัดส่ง สถานะคำสั่งซื้อ เป็นต้น โดยสารสนเทศดังกล่าวจะช่วยให้ระบบ CRM สามารถคาดการณ์ความต้องการลูกค้าและการวางแผนกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งระบบ
ERP ที่ ไมเนอร์ กรุ๊ป เลือกนำมาใช้ คือ โปรแกรม ORACLE ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รวบรวมงานหลักต่างๆ ได้แก่ การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารงานบุคคล เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่าง Real-Time ผ่านการเชื่อมต่อกับเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
2 ระบบ POS (Point of Sale)
3. ระบบ Barcode
ทุกครั้งทีมีการซื้อขายหน้าร้านทุกสาขาทั่วประเทศ ระบบ POS ของแต่ละสาขาจะส่งข้อมูลการขายสินค้าส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่สำนักงานใหญ่ เมื่อทางสำนักงานใหญ่รวบรวมข้อมูลการขายสินค้าต่างๆของแต่ละสาขาแล้ว จะทำการเปิดใบสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์ผ่านระบบออนไลน์ให้กับซัพพลายเออร์รายย่อย และส่งให้ทางซัพพลายแออร์ผู้ผลิตและจัดส่งสินค้ามายังศูนย์กระจายสินค้า ก่อนที่ศูนย์กระจายสินค้าจะทำหน้าที่คัดแยกสินค้าและจัดส่งไปยังสาขาทั่วประเทศ โดยสินค้านั้นจะใช้ Barcode เพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียดสินค้า เพราะจะทำให้บริษัททราบถึงข้อมูลรายละเอียดสินค้าผ่านรหัสใน Barcode
4. ระบบ CRM (Customer Relationship Management)
เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่องค์กรนำมาใช้เพื่อบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้ากับองค์กรตลอดวงจรชีวิตการเป็นลูกค้า ได้แก่ การตลาด การขาย การให้บริการ และการสนับสนุนโดยใช้ทรัพยากรด้านสารสนเทศ กระบวนการ เทคโนโลยี และบุคลากร โดยเน้นการสร้างประสานสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ demain chain management ผ่านการจัดโปรแกรม เพื่อจูงใจลูกค้า เช่น การสะสมคะแนน การให้บริการตอบคำถาม (call center) การให้สิทธิประโยชน์ หรือส่วนลดต่างๆ เป็นต้น

สิ่งที่จะทำให้เข้าใจถึงหน้าที่ของการผลิตและวิธีการควบคุมการผลิตนั้น เราจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่ 2 สิ่งหลักๆ ได้แก่
1. วัตถุดิบ Materials
2. สารสนเทศ Information

จากรูป จะเห็นว่าในทุกๆกระบวนการผลิต จะมีการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบ และ สารสนเทศในทุกกระบวนการ
ปัญหา คือ ความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น
- ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้อง สมบูรณ์แบบ และราคาถูก
- พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คำสั่งที่ถูกต้อง
- ฝ่ายจัดซื้อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
- ผู้จำหน่ายวัตถุดิบต้องการคำสั่งซื้อที่ถูกต้อง เพื่อจะได้จัดส่งสินค้าได้ถูกต้อง
- ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง
จากรูป แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ SCM ซึ่งมีผลตอบรับในด้านต่างๆ ดังนี้
ประโยชน์ของการทำ SCM
Supply Chain Management คือ การรจัดการเชื่อมกิจกรรมต่างๆที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และลูกค้า กลยุทธ์ด้าน Supply Chain ได้แก่ ความพยายามที่จะผูกลูกค้า ผู้ผลิต หรือผู้จัดจำหน่ายกับธุรกิจ เรียกว่า Lock-in Customers หรือ Lock-in Suppliers เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปทำธุรกิจกับผู้อื่่นมีสูงขึ้น
ปัญหา คือ ความสนใจที่แตกต่างกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น
- ลูกค้ามักต้องการสินค้าที่ถูกต้อง สมบูรณ์แบบ และราคาถูก
- พนักงานในสายการผลิตอยากรู้คำสั่งที่ถูกต้อง
- ฝ่ายจัดซื้อต้องการได้วัตถุดิบที่ถูกต้อง มีคุณภาพ
- ผู้จำหน่ายวัตถุดิบต้องการคำสั่งซื้อที่ถูกต้อง เพื่อจะได้จัดส่งสินค้าได้ถูกต้อง
- ผู้จัดการต้องการรายงานที่ถูกต้อง
จากรูป แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ SCM ซึ่งมีผลตอบรับในด้านต่างๆ ดังนี้
ประโยชน์ของการทำ SCM
- การเคลื่อนไหลของวัตถุดิบและสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
- ปรับปรุงระดับของสินค้าคงเหลือ
- เพิ่มความเร็วได้มากขึ้น
- ขจัดความสิ้นเปลืองหรือความสูญเปล่าต่างๆ ในกระบวนการทางธุรกิจให้หมดไปได้
- ลดต้นทุนในกิจกรรมต่างๆ ได้
- ปรับปรุงการบริการลูกค้า
การบูรณาการในห่วงโซ่อุปทาน- การบูรณาการภายในธุรกิจ ให้เป็นแบบไร้รอยตะเข็บ ไร้ความสูญเสีย และมีความยืดหยุ่น- การบูรณาการภายนอก กับกระบวนการของลูกค้าที่สำคัญและผู้จัดหาวัตถุดิบที่สำคัญให้เข้ากับกระบวนการภายในของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และไร้รอยตะเข็บ- การบูรณาการทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนและประสานข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กรเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้ ได้แก่ E-Business, EDI-Electronic Data Interchange, Bar Code, E-Mail เป็นต้น Value Chain ห่วงโซ่คุณค่า
การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการจัดการด้าน Supplr Chain Supply Chain Management คือ การรจัดการเชื่อมกิจกรรมต่างๆที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และลูกค้า กลยุทธ์ด้าน Supply Chain ได้แก่ ความพยายามที่จะผูกลูกค้า ผู้ผลิต หรือผู้จัดจำหน่ายกับธุรกิจ เรียกว่า Lock-in Customers หรือ Lock-in Suppliers เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปทำธุรกิจกับผู้อื่่นมีสูงขึ้น
Supply Chain Managenment
เป็นระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ Suppliers, Manufacturers และ Distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ
ขั้นตอนวิวัฒนาการไปสู่ระบบการจัดการซัพพลายเชน
กล่าวกันว่ามีต้นแบบมาจากการส่งลำเลียงเสบียงอาหารและอาวุธโยปกรณ์ตามระบบส่งกำลังบำรุงของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามที่ต้องการความมั่นใจว่าอาวุธและเสบียงอาหารจะต้องส่งให้เรียบร้อยและเพียงพอกับความต้องการ และตรงเวลา เพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด
ต่อมา แนวความคิดดังกล่าวได้นำมาพัฒนาและดัดแปลงให้กับธุรกิจค้าและอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง
Helen Peek และคณะ ได้กล่าวถึงระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนการบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน The Baseline Organization เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมที่ต้องการสร้างผลกำไรสูงสุดขององค์กร โดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก ฝ่าย ซึ่งองค์กรในรูปแบบนี้ อาจะไม่สามารถปรับแผนการผลิตและการจัดหาวัสดุได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดของผู้บริโภค เนื่องจากแต่ละแผนต่างทำงานเป็นอิสระต่อกัน ไม่เกี่ยวกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน The Functionally Integrated Company องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยมีการรวบรวมหน้าที่ ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงานเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน The Internally Integrated Company องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้น การทำงานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน The Externally Integrated Company เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยมีการปรับโครงสร้างการบริหารแบบซัพพลายเชนในบริษัทของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก
การบริหารจัดการซัพพลายเชน
เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องในซัพพลายเชนเราเป็นสำคัญ องค์กรที่มีความรู้ในการบริหารจัดการดีควรต้องถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปรับปรุงระบบงานและการประสานงานระหว่างองค์กรให้แก่องค์กรอื่นๆในซัพพลายเชน
นอกจากการประสานงานที่ดีแล้ว จะต้องพิจารณาความสามารถในการประสานงานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. ศักยภาพในการประสานงานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด
2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เป็นระบบการบริหารจัดการเพื่อให้บริการที่มีคุณภาพ และการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่างและภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
3. ศักยภาพในการประสานงานระบบการจัดการสารสนเทศ ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรในซัพพลายเชนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1. ปัญหาจากการพยากรณ์ การพยากรณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจัดการซัพพลายเชน
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามเวลาที่กำหนด
3. ปัญหาด้านคุณภาพ ส่งผลให้กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามที่กำหนด
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า ส่งมอบล่าช้าเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งานระหว่างทำ และสินค้าสำเร็จรูป
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ สารสนเทศที่ผิดพลาดส่งผลกระทบต่อการจัดการโซ่อุปทาน ทำให้การผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่กำหนดไว้
6. ปัญหาจากลูกค้า เป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของโซ่อุปทาน
ตัวอย่างปัญหาของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น Bullwhip Effect คือ ปัญหาที่เกิดจากความแปรปรวนเล็กน้อยของความต้องการถูกนำมาขยาย เมื่อส่งข้อมูลกลับต้นทาง
เทคโนโลยีสารสนเทศในซัพพลายเชน
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยในการจัดการซัพพลายเชน การจัดระบบซัพพลายเชน ให้มีประสิทธิภาพนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการในเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆให้ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด การจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ และความสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดตลาด และที่สำคัญคือ การนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาเป็นเครืองมือช่วยในการจัดการระบบซัพพลายเชน
ปัจจุบันเทคโนโลยีที่นิยมใช้ในระบบซัพพลายเชน ได้แก่
1. ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ E-business หรือบางครั้งเรียก พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce เป็นการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและดำเนินงานระหว่างธุรกิจกับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ
2. การใช้บาร์โค้ด Barcode หรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในรูปของแท่งบาร์ โดยประกอบไปด้วยบาร์ที่มีสีเข้มและช่องว่างสีอ่อน เป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner บาร์โค้ดทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆของสินค้า เช่น หมายเลขของสินค้า ครั้งที่ทำการผลิต เป็นต้น
3. การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ EDI : Electronic Data Interchange เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ต่อการจัดการซัพพลายเชน เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์
4. การใช้ซอฟต์แวร์ Application SCM การนำซอฟร์แวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน เช่น ERP : Enterprice Resource Planning เป็นซอฟต์แวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทำหน้าที่ ประสานงานหลักๆในด้านต่างๆ , Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือกันบริหารงานในระดับซัพพลายเชน ต้องมีกลไกร่วมคิดร่วมพัฒนาระหว่างองค์กรอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจและการผลักดันของผู้บริหารระดับสูงของทุกองค์กรมีความสำคัญยิ่ง การจัดตั้งทีมงานร่วม ที่จะประกอบไปด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถจากทุกองค์กรในซัพพลายเชนมาร่วมกันวางแผนหาจุดอ่อน และพัฒนาระบบโลจิสติกในภาพรวม จะช่วยกันสร้างความร่วมมือระหว่งกันได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม
1. ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)
เป็นเทคโนโลยีบริหารกระบวนการธุรกิจโดยเฉพาะการเชื่อมโยง SCM โดยเน้นการบูรณาการกระบวนการหลักของธุรกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกรรมประจำวัน และยังสนับสนุนกระบวนการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ด้วยการใช้สารสนเทศระหว่างพนักงานขายและฝ่ายปฏิบัติงาน ซึ่งสารสนเทศหลักประกอบด้วย ประวัติการขาย การจัดส่ง สถานะคำสั่งซื้อ เป็นต้น โดยสารสนเทศดังกล่าวจะช่วยให้ระบบ CRM สามารถคาดการณ์ความต้องการลูกค้าและการวางแผนกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งระบบ
ERP ที่ ไมเนอร์ กรุ๊ป เลือกนำมาใช้ คือ โปรแกรม ORACLE ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รวบรวมงานหลักต่างๆ ได้แก่ การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารงานบุคคล เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่าง Real-Time ผ่านการเชื่อมต่อกับเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
ERP ที่ ไมเนอร์ กรุ๊ป เลือกนำมาใช้ คือ โปรแกรม ORACLE ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รวบรวมงานหลักต่างๆ ได้แก่ การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารงานบุคคล เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันอย่าง Real-Time ผ่านการเชื่อมต่อกับเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
2 ระบบ POS (Point of Sale)
3. ระบบ Barcode
ทุกครั้งทีมีการซื้อขายหน้าร้านทุกสาขาทั่วประเทศ ระบบ POS ของแต่ละสาขาจะส่งข้อมูลการขายสินค้าส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่สำนักงานใหญ่ เมื่อทางสำนักงานใหญ่รวบรวมข้อมูลการขายสินค้าต่างๆของแต่ละสาขาแล้ว จะทำการเปิดใบสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์ผ่านระบบออนไลน์ให้กับซัพพลายเออร์รายย่อย และส่งให้ทางซัพพลายแออร์ผู้ผลิตและจัดส่งสินค้ามายังศูนย์กระจายสินค้า ก่อนที่ศูนย์กระจายสินค้าจะทำหน้าที่คัดแยกสินค้าและจัดส่งไปยังสาขาทั่วประเทศ โดยสินค้านั้นจะใช้ Barcode เพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียดสินค้า เพราะจะทำให้บริษัททราบถึงข้อมูลรายละเอียดสินค้าผ่านรหัสใน Barcode
4. ระบบ CRM (Customer Relationship Management)
เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่องค์กรนำมาใช้เพื่อบริหารความสัมพันธ์ของลูกค้ากับองค์กรตลอดวงจรชีวิตการเป็นลูกค้า ได้แก่ การตลาด การขาย การให้บริการ และการสนับสนุนโดยใช้ทรัพยากรด้านสารสนเทศ กระบวนการ เทคโนโลยี และบุคลากร โดยเน้นการสร้างประสานสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ demain chain management ผ่านการจัดโปรแกรม เพื่อจูงใจลูกค้า เช่น การสะสมคะแนน การให้บริการตอบคำถาม (call center) การให้สิทธิประโยชน์ หรือส่วนลดต่างๆ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น